8 สิ่งที่ไม่ควรทำขณะท้องว่าง เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ

เคยสังเกตไหมว่าทำไมเวลาท้องว่างแล้วทำบางอย่าง มักจะมีปัญหาสุขภาพตามมา? มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงในยามท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรคภัย

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญในทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะในยามที่ท้องว่าง หลายคนอาจคิดว่าการปล่อยท้องให้ว่างเป็นเรื่องปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า การกระทำบางอย่างขณะท้องว่างอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ วันนี้เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่ท้องว่าง เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีของเราไว้

แพทย์หญิงกำลังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพแก่ผู้ป่วย โดยมีภาพโปสเตอร์แสดงอาหารสุขภาพและสัญลักษณ์การแพทย์อยู่ด้านหลัง

สิ่งที่ไม่ควรทำขณะท้องว่าง เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพ

1.รับประทานผลไม้ตระกูลซีตรัส

การรับประทานผลไม้ตระกูลซีตรัส เช่น ส้ม มะนาว มะละกอ ขณะท้องว่างอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เนื่องจากผลไม้เหล่านี้มีกรดสูง เมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าจะไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะ ปวดท้อง แสบท้อน หรือกรดไหลย้อนตามมา ดังนั้น จึงควรเลือกทานผลไม้พวกนี้หลังมื้ออาหารจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อลดการกระตุ้นกรดในกระเพาะและถนอมระบบย่อยอาหาร

2.ทานโยเกิร์ตตอนท้องว่าง

แม้ว่าโยเกิร์ตจะอุดมไปด้วยแบคทีเรียดี ช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหารและลำไส้ให้ทำงานเป็นปกติ แต่หากรับประทานในขณะที่ท้องว่างอาจได้ผลตรงกันข้าม เพราะกรดในกระเพาะที่หลั่งออกมาจะทำลายแบคทีเรียดีในโยเกิร์ต ลดประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร อาจนำไปสู่ปัญหาท้องผูก ท้องเสีย หรือระบบขับถ่ายผิดปกติได้ ทางที่ดีควรทานโยเกิร์ตห่างจากมื้ออาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากโยเกิร์ตอย่างเต็มที่

3.ทานอาหารรสจัด

อาหารรสจัด เผ็ดร้อน หรือเค็มจัด เป็นตัวกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอย่างรุนแรง หากรับประทานในขณะท้องว่างจะยิ่งซ้ำเติมให้เยื่อบุกระเพาะอ่อนแอ เกิดการระคายเคือง ปวดท้องและอาการไม่สบายตามมา หากหิวมากจริงๆ ควรเลือกอาหารย่อยง่าย รสชาติอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือแซนด์วิชไส้ไก่ เพื่อไม่ให้กระเพาะทำงานหนักเกินไป ช่วยป้องกันแผลในกระเพาะอาหารได้ในระยะยาว

4.ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน

เครื่องดื่มคาเฟอีน ทั้งชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม ล้วนมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร หากดื่มในตอนท้องว่างจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกรดไหลย้อนและโรคกระเพาะอาหารอักเสบ แม้คาเฟอีนจะช่วยให้สดชื่น ตื่นตัว แต่การดื่มขณะท้องว่างไม่ใช่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ควรเว้นระยะหลังอาหารสักพักเพื่อให้ร่างกายย่อยอาหารไปบางส่วน แล้วจึงจิบเครื่องดื่มคาเฟอีนตามอย่างช้าๆ จะปลอดภัยกว่า

5.ออกกำลังกายอย่างหนัก

หลายคนเชื่อว่าการออกกำลังกายตอนท้องว่างจะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี แต่ความจริงคือ อาจให้ผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้รับพลังงานจากอาหาร ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอ เสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน เป็นลมง่าย หรือบาดเจ็บจากการฝืนออกกำลังได้ ดังนั้น ก่อนออกกำลังกายควรทานอาหารเบาๆ ย่อยง่าย เช่น กล้วย บาร์โปรตีน ซีเรียล เป็นต้น เพื่อเติมพลังงานให้ร่างกาย และควรออกกำลังห่างจากอาหารมื้อหลักประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

6.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มเหล้า เบียร์ หรือค็อกเทลในขณะท้องว่างเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเมาง่ายและรุนแรงกว่าปกติแล้ว แอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์กัดกร่อนเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ หรือมีเลือดออกภายในได้ ยิ่งดื่มปริมาณมากหรือติดต่อกันเป็นประจำ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นแผลในกระเพาะและมะเร็งทางเดินอาหารในระยะยาวด้วย

7.ทานกล้วยจำนวนมาก

กล้วยเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย แต่ข้อควรระวังคือ ไม่ควรทานกล้วยปริมาณมากในตอนท้องว่าง เพราะกล้วยมีแมกนีเซียมอยู่สูง เมื่อรับประทานเข้าไปจำนวนมากอาจทำให้ระดับแมกนีเซียมในเลือดสูงผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคไต การทำงานของไตบกพร่อง จึงควรจำกัดปริมาณกล้วยไม่เกินวันละ 1-2 ลูก และทานหลังมื้ออาหารจะปลอดภัยกว่า

8.รับประทานยาโดยไม่ทานอาหาร

ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดต้านการอักเสบประเภท NSAIDs ได้แก่ แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟิแนค เป็นต้น หากรับประทานขณะท้องว่างจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารสูงมาก เนื่องจากยาเหล่านี้มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมือกบุผนังกระเพาะ ทำให้กรดในกระเพาะกัดกร่อนผนังจนเป็นแผลได้ง่าย ฉะนั้น ควรรับประทานยาหลังอาหารเสมอ เพื่อให้อาหารเป็นตัวช่วยลดการระคายเคืองจากยา แต่ทั้งนี้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาก่อนเปลี่ยนวิธีใช้ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด

ป้ายเตือนอันตรายสีแดงพร้อมเครื่องหมายตกใจ และมีสัญลักษณ์ห้ามพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น การดื่มกาแฟ การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการกินอาหารบางประเภทในขณะที่ท้องว่าง

สรุป

จะเห็นได้ว่า แม้เราจะคิดว่าการปล่อยให้ท้องว่างเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีหลายสิ่งที่เราไม่ควรทำเพื่อรักษาสุขภาพที่ดีของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท การออกกำลังกายอย่างระมัดระวัง หรือการใช้ยาอย่างถูกวิธี หากเราหมั่นสังเกตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ เชื่อว่าจะช่วยให้เรามีสุขภาพดีและห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บไปได้อีกนาน